วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 ข้อสงสัยเกี่ยวกับโลกใบนี้ (ใครรู้ช่วยตอบที)


        1. ทำไมตำรวจจราจรชอบยืนแอบหลังต้นไม้หรือเสาไฟแล้วออกมาจับคนขับรถผิดกฎ ทั้งๆที่ถ้ายืนกลางถนนคงไม่มีใครกล้าขับรถผิดกฎจราจร

        2. ระบบทางเดินอาหารของนักการเมืองประเทศ....  ทำด้วยอะไร เหตุใดพวกเขาถึงกินของได้สารพัดทั้ง อิฐ หิน ปูน ทราย เหล็กเส้น พันธุ์ข้าว กล้ายาง ลำไย นมเด็ก นมผู้ใหญ่ ไก่ (ลากไปกินในน้ำ)   หรือกระเพาะของพวกเขาสามารถสร้าง Enzyme ชนิดพิเศษที่คนทั่วไปไม่มี

        3. ทำไมคนไทยให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนโบราณเค้า “ถือ” กัน มากกว่าการ “ถือ” ศีล 5

        4. ทำไมแฟนหงส์ส่วนมากขี้คุย

        5. ถ้าเอาเชือกมัดมือ มัดเท้า ล็อคคอ คุณสรยุทธ สุทัศนจินดา   เขาจะสามารถอ่านและวิเคราะห์ข่าวได้หรือไม่

        6. ทำไมนักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนมักจะหัวฟู และทั้งๆที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์มากมายทำไมไม่คิดค้นน้ำยายืดผมถาวร

        7. ทำไมรายการข่าวที่มีทั้งอาชญากรรม ความรุนแรง การเมืองน้ำเน่า ดาราสาวโชว์บัวปริ่มน้ำ และส่วนมืดดำของสังคมอีกมากมาย ถึงไม่มีการจัดเรตติ้ง

        8. ผีรู้ได้อย่างไรว่าหวยจะออกเลขอะไร แล้วทำไมคนทรงไม่เก็บไว้แทงคนเดียว รวยคนเดียว

        9. ผู้ชายชอบผู้หญิงโป๊หรือเปลือยมากกว่ากัน

        10.เงินกับคุณธรรมสิ่งใดสำคัญมากกว่ากัน

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

รัก ณ อัมพวา

อีก 2 วัน ก็จะมีอีกหนึ่งงานเทศกาลดนตรี ที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะครั้งนี้ไม่จัดบนเขา ไม่จัดที่ทะเล แต่เป็นที่ตำบลเล็กๆ อย่าง อัมพวา

ในชื่องาน รัก ณ อัมพวา



น่าเสียดายที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกมาประกาศแล้วว่า อากาศที่หนาวเย็นทั่วประเทศในขณะนี้ จะคงอยู่ไม่กี่วัน...ไม่อย่างนั้น งาน รัก ณ อัมพวา นี้ คงเป็นงานน่ารักๆ ท่ามกลางลมหนาว

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เรนต้องสะสางเรื่องยุ่งๆ และภาระหน้าที่ในชีวิตให้ลุล่วงไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้มีเวลาไปนอนเล่นที่อัมพวาซัก 2-3 คืน

คิดถึงสายน้ำแห่งวัฒนธรรม.....

คิดถึงสายลมบริสุทธิ์สะอาด.....

คิดถึงผู้คนที่เปี่ยมมิตรไมตรี.....

คิดถึง.....ดินแดนแห่งความรักของฉัน

รัก ณ อัมพวา




วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฉันคิดถึงเธอ

คิดถึง เหมือนจะตาย...
ไม่พูดก็ไม่ได้ มันอึดอัด
ไม่เคยปากจึงได้ แต่ฮึดฮัด
ไม่ถนัดจึงอ้อมแอ้ม กระแอมกระไอ

คิดถึงสิ ถามได้ ใครไม่คิด
ไปสุดทิศ สุดทาง ข้างไหนๆ
ครึ่งโลก ค่อนวัน ข้ามคืน หมื่นๆไมล์
ไม่เคยไกล เกินเอื้อม ความคำนึง

คิดถึงเธอสม่ำเสมอเหมือนโลกหมุน
พอได้จุนเจือให้หัวใจหนึ่ง
ให้ยังเต้นเต็มพลังดังตังตึง
เป็นแรงดึงให้ขาก้าว..เดินทางไกล

มีเธออยู่ในทุกก้าวที่เท้าย่ำ
บอกซ้ำๆ แก้เหงาคนอ่อนไหว
เติมขมลงในหวานบ้างจะเป็นไร
เหมือนเติมรสเดินทางให้..เข้มขึ้น

รู้สึกดีที่มีใครให้คิดถึง
หัวใจจึงสงบงามยามหลับตื่น
แต่บางครั้ง บางคราว ในบางคืน
ที่ลุกขึ้นมาพร่ำบ่น...ทุรนทุราย


วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

ละครวิทยุของเรา

ถ้าพูดถึงเรื่องราวในวันวาน หลายๆ คนคงมีความทรงจำมากมายทั้งสุขและทุกข์ แจ่มชัดบ้าง ซีดจางบ้าง ต่างกันไป

ไม่กี่วันก่อนฉันได้จัดการกับไฟล์อันแสนจะไม่เป็นระเบียบในคอมพิวเตอร์ และได้ไปเจองานเก่าๆ ที่รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ทำส่งอาจารย์ ฟังแล้วก็ขำน้ำตาไหล แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยทำงานนี้

อัดกันแบบตามมีตามเกิด คือเทคเดียวผ่านห้ามผิดพลาด เพราะตอนนั้นยังละอ่อนด๋อยไม่รู้ว่าเค้ามีโปรแกรมตัดต่อเสียง ดนตรีประกอบก็เปิดเอาจากโทรศัพท์มือถือแบบกะจังหวะจบจังหวะเริ่มแต่ละฉากเอา มีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์แทรกบ้าง บทสะดุดบ้าง หลุดขำบ้าง แต่ก็ทำกันแบบดิบๆ ใจๆ นั่งเรียงกัน 7-8 คน เพื่อสิ่งๆ เดียว คือ งาน

แต่สิ่งที่มากกว่าไฟล์งานก็คือ ความทรงจำระหว่างทำงานร่วมกัน การพูดคุยปรึกษาหารือกัน สอดคล้องเห็นชอบตรงกันบ้าง โต้แย้งกันบ้าง แต่ก็เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจทีเดียว ....


วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

โลก/ เรา/ ภัยพิบัติ

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่คนทั่วโลกเฝ้าจับตามองอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...ภัยพิบัติที่เสมือนคำเตือนอีกรอบที่ย้ำว่า...

โลกกำลังใกล้ถึงกาลอวสาน

ถึงแม้จะเตรียมใจมานานแล้วว่า ทุกสิ่งยอมมีเกิดขึ้นและดับไป แต่การทำใจยอมรับว่า อาจต้องมองเห็นความสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในช่วงชีวิตของเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

หลายๆ เหตุการณ์วิปโยคทางธรรมชาติ ทำให้คนเราหันมามองตัวเองได้มากแค่ไหน หรือเป็นแค่กระแสเพียงช่วงสั้นๆ เหมือนช่วงหนึ่งที่ฮิตสะพายถุงผ้า แต่ตอนนี้มีใครบ้างที่หิ้วถุงผ้าไปจ่ายตลาดแบบจริงๆ จังๆ

หกปีก่อนในคาบสมุทรอินเดีย... สองปีก่อนก่อนที่พม่า... วันนี้ที่ญี่ปุ่น... แล้ววันหน้าล่ะ......

ยังทันอยู่หรือ ที่เราจะสามารถหยุดยั้งวันสิ้นโลกได้.......



มองทุกสิ่งบนโลกวันนี้แล้ว
ทุกถิ่นแถวคงคิดไม่แตกต่าง
ความอยู่รอดทุกชีวิตยังเลือนราง
หวั่นโลกล้างถูกทำลายทวีคูณ

คงไม่ใช่เพียงมนุษย์ที่สูญสิ้น
ฟ้าและดินคงทลายจนสิ้นศูนย์
 นึกถึงสรรพสัตว์ยิ่งอาดูร
ความสมบูรณ์คงเหลือเพียงในตำนาน

เดรัจฉานคงค่อนขอด "คนใจร้าย"
คนเป็นเพียงผู้ทำลายแต่ไม่สาน
ยึดครองเอาทุกสิ่งมานมนาน
ประหัตถ์หารชีวิตอื่นอย่างเลือดเย็น

เราสร้างฟาร์มปศุสัตว์เป็นระบบ
กินซากศพหมูไก่อย่างที่เห็น
มันเคยมีชีวิตใจเคยเต้น
กลับกลายเป็นอาหารในจานเรา

สัตว์ไม่เคยคิดสร้างมลพิษ
เป็นความผิดมนุษย์ที่โง่เขลา
ไม่เพียงทำลายชีวิตของพวกเรา
แต่รวมเอาทุกชีวีในแผ่นดิน

โลกวิบัติเพียงใดแม้จะรู้
แต่มนุษย์ยังห่วงอยู่ในทรัพย์สิน
เร่งรัด-พัฒนาเป็นอาจินต์
เศรษฐกิจเดิน ----บนแผ่นดินลุกเป็นไฟ

ภัยพิบัติผลาญพล่าคร่าชีวิต
ไม่ต้องคิดหาต้นเหตุให้สงสัย
มนุษย์เรานี่แหละตัวจัญไร
ตัววายร้ายทำลายโลกถึงอับจน

ต่อไปจะหาที่ไหนสงบได้
เกิดเพศภัยกระจายทุกแห่งหน
หากมนุษย์ยังคงเห็นแก่ตน
ในวังวนแห่งกิเลสความต้องการ....


ที่บ่นมา แต่งมา ร่ายมานี้ ไม่ได้ต้องการอะไร แค่รู้สึกอยากระบายก็เท่านั้น....เห้อ!!!




วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

กอด

ไม่กี่วันก่อน เพื่อนสนิทของฉันเพิ่งเปรยว่า พวกเรานี่น่าอิจฉานะ มีโอกาสได้กอดกันบ่อยๆ....

เคยคิดกันรึเปล่าคะ ว่าการกอดจำเป็นต่อคนเราแค่ไหน

สำหรับเรน การกอด เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีกว่าคำพูดมากมายหลายเท่า

จากนี้...เป็นช่วงของการสำเร็จการศึกษาที่แต่ละคนจะเริ่มทยอยจบ และเริ่มแยกย้ายกันไปเริ่มต้นชีวิตการทำงาน

ความน่าอิจฉาของพวกเราคงจะน้อยลง เพราะเราคงได้กอดกันน้อยลง

แต่ไม่ว่าจะยังไง ทุกภาพที่เราอยู่รวมกัน ทุกความรู้สึกเวลาเรากอดกัน ทุกเสียงที่เราพูดและหัวเราะร่วมกัน จะอยู่ในความทรงจำของฉัน ตลอดไป


วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

นิทานหลอกเด็ก


ฟังเพลงนี้แล้วก็ได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง

บางทีโลกใบนี้ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนที่เราจินตนาการไว้ตอนเด็กๆ เหมือนนิทางก่อนนอนที่พ่อแม่เคยเล่าให้เราฟัง.......

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

คิดบวก++++



เคยดูโฆษณาที่คุณนาตาลี สาวงามระดับโลกมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง กับวลีเด็ด "ยิ่งคิดบวก ยิ่งสวยขึ้น"

คิดบวกแล้วดียังไง มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วจะเป็นคนโง่รึเปล่า

----------------------------------------

หลังจากเดินผ่านเรื่องราวมามากมาย มันทำให้ฉันรู้ว่าการคิดบวก จำเป็นต่อเรามากกว่าที่เราคิด

บางครั้งเราอาจต้องหัดมองบางเรื่องในแง่ร้ายบ้าง เพื่อให้ไม่คาดหวังต่อสิ่งใดมากเกิน

แต่บางครั้งการมองโลกในแง่ดี การคิดบวก ก็เติมพลังให้เราได้มหาศาลเช่นกัน

เพราะในสังคมทุกวันนี้ เราต้องเจอคนมากมาย หลายรูปแบบ เจอกับความคิดคนที่ดีบ้าง ร้ายบ้าง ไม่ยินดียินร้ายบ้าง สถานการณ์ที่บางครั้งเราเองก็ควบคุมได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

การยอมรับในตัวคนและสถานการณ์ทั้งดีร้าย เข้าใจในสิ่งที่เป็นไปอย่างมีสติ ไม่ตีโพยตีพาย โมโหโกรธา ไม่หลงระเริง หรือฟูมฟายไปกับมัน

...รู้เท่าทันในสิ่งที่เกิด นี่แหละ การคิดบวกของฉัน

บางครั้งก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะปล่อยใจไหลไปตามเรื่องที่ไร้ค่า

ในวันที่ถูกทำร้าย ฉันได้คิดในแง่ดีว่า ก็ดีเหมือนกัน ที่ได้รู้ว่ามีคนรอบข้างห่วงใย ..และพร้อมที่จะปกป้องเรา

ในวันที่ผิดพลาด ฉันได้คิดว่า ก็ดีเหมือนกัน วันหลังจะไม่พลาดอีก คอยดูสิ

ในวันที่คนด่าเราเพื่อให้เราเจ็บ ..แล้วถ้าเราไม่เจ็บล่ะ  คำด่าของคุณมันก็ดีเหมือนกันนะ ฉันชอบจัง และถือว่ามันเป็นคำชม ...ขอบคุณนะคะ

แต่ฉันเองไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกินไปหรอกนะ มองมันในแง่จริงมากกว่า .. แต่จะผิดอะไรล่ะที่จะทำให้มันกลายเป็นสิ่งขำขัน ตลกร้าย น่ากวนตีน

ถึงเราจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายร่างกาย ถึงจะแข็งแกร่งหรือมีอิทธิพลแค่ไหน ร่างกายเราก็ถูกทำร้ายได้
เราอาจถูกลอบกัด ใช้อาวุธทุ่นแรง หรือถูกคนที่มีกำลังหรืออิทธิพลมากกกว่าทำร้าย

แต่ฉันเชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ทำร้ายใจเราได้ ถ้าเราไม่ยอม!!




วันนี้เอา “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก” ของริช เดอโวส ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจแอมเวย์ ที่ค่อยๆ สร้างธุรกิจ จนเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกมุมโลก มาฝากกัน


1.“ฉันผิดเอง” (I am wrong) ริช  เดอโวส ระบุว่า “ฉันผิดเอง” เป็นคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติตัวเราได้ดีที่สุด เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด โดยเฉพาะเมื่อต้องยอมรับผิดต่อหน้าคนอื่น

เจ้าตัวแนะว่า เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด แค่เอ่ยคำว่า “ฉันผิดเอง คุณทำถูกแล้วล่ะ” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ้น ช่วยให้การเจรจาต่างๆ เดินไปข้างหน้า หรือยุติการโต้แย้งที่กำลังเกิดขึ้น

“ฉันผิดเอง” ยังเป็นคำพูดที่แปรเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร
แม้การยอมรับว่า “ฉันผิดเอง” จะลดความน่าเชื่อถือของคุณในบางสถานการณ์ลงก็ตาม



2. “ฉันขอโทษ” (I am sorry) หลายๆ ครั้งที่การกล่าวถ้อยคำสั้นๆ นี้เป็นเรื่องยาก แต่การกล่าวคำนี้ให้เป็นนิสัยเป็นสิ่งคุ้มค่า เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มักปกป้องตัวเอง มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่พอเอ่ยคำนี้ออกมาจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” แสดงถึงว่าคุณปรารถนาจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์ กับบุคคลที่เป็นคู่กรณีกับคุณ

การกล่าว "ขอโทษ" ต้องออกจากส่วนลึกจริงๆ ความรู้สึกนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับ การแสดงออกทั้งสีหน้าและแววตา ไม่ใช่กล่าวแบบขอไปที เพื่อให้จบๆ ลงเท่านั้น



3."คุณทำได้" (You can do it) ริช ระบุว่า...ผู้คนจำนวนมากไม่เคยลองทำอะไรเลยเพราะกลัวความล้มเหลว กลัวว่าตัวเองไม่มีชั่วโมงบินมากพอ กลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์

สำหรับคนเหล่านี้ ริช แนะนำว่า “ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วก็ลงมือได้เลย คุณทำได้!” แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “คุณทำได้” จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย




4.“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” (I believe in you) เป็นคำพูดที่ต่อเนื่องจาก “คุณทำได้” (คุณทำได้...ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ) ต่างกันที่เป็นคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกลึกๆ เป็นคำพูดสำหรับผู้นำที่ใช้พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พ่อแม่ที่ส่งต่อความรู้สึกนี้กับลูกๆ หรือเจ้านายที่มีต่อลูกน้องที่กำลังเจออุปสรรคและต้องการความช่วยเหลือ



5.“ฉันภูมิใจในตัวคุณ” (I am proud of you) เพียงเราเปล่งคำนี้จะพบว่ามีอานุภาพสูงมากในการสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า “พ่อภูมิใจในตัวลูก” หรือ “ผมภูมิใจในตัวคุณ” “ผมภูมิใจในความสำเร็จของคุณ” เป็นการให้กำลังใจที่ดีมาก โดยปกติแล้วคนไทยเราไม่ค่อยชมเชยผู้อื่นด้วยคำพูดนี้เท่าไหร่นัก



6. คำว่า “ขอบคุณ” (Thank you) ริช ระบุว่า เป็นคำที่ทุกๆคนอยากได้ยิน และทุกคนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง เรากล่าวคำขอบคุณกับผู้ให้บริการ หรือผู้ที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เรา กล่าวกับผู้ที่ชมเชยเรา ผู้ที่มีน้ำใจ หรือมีเมตตาต่อตัวเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ริช เดอโวส ตั้งข้อสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เราใช้เวลานานกว่าจะพูดคำนี้ออกมาสักครั้ง
แต่ใช้เวลาเดี๋ยวเดียวในการต่อว่าผู้อื่น บางทีเรามัวแต่นึกถึงตัวเอง จนลืมขอบคุณผู้อื่น



7. “ฉันต้องการคุณ” (I need you) เป็นอีกคำที่มีอานุภาพยิ่งสำหรับคนคิดบวก เพราะบ่งบอกถึงการยอมรับในความสามารถผู้อื่น เป็นคำที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ จะเห็นว่าผู้นำหลายๆคน ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นยิ่งมองไม่เห็นความสำคัญของผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีทางที่เราจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้โดยลำพัง เมื่อคุณกล่าวคำคำนี้ออกมา จะเป็นการสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้เกิดขึ้น ไม่ว่าที่ใด


8. “ฉันวางใจในตัวคุณ” (I trust you) ความสำเร็จที่ได้รับขึ้นอยู่กับเรา ได้มอบความไว้วางใจให้กับใครสักคน ว่าจะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมาย และไว้ใจได้ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เราจำเป็นต้องไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว รวมไปถึงชุมชน ในสังคมที่ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้

ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้นำเช่นกัน เมื่อมีคุณสมบัตินี้ ใครๆก็อยากเป็นเหมือนคุณ อยากเป็นเพื่อนคุณ อยากปฏิบัติตามคุณ อยากทำธุรกิจหรือร่วมลงทุนกับคุณ ริช ระบุไว้ในหนังสือว่า
กฎทองของคำคำนี้ คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ



9. “ฉันเคารพคุณ” (I respect you) คุณจะได้รับความเคารพกลับมาก็ต่อเมื่อให้ความเคารพผู้อื่น “ฉันเคารพคุณ” จึงเป็นคำพูดที่ทั้ง “ให้” และ “รับ” จากผู้อื่น การเคารพยังเป็นการแสดงออกที่ซ่อนเร้นได้ยาก และสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

ริช กล่าวว่า ในช่วงที่เป็นผู้นำองค์กร เขาคิดว่าการเคารพผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจและวิธีการดำเนินองค์กรจะมีค่าน้อยทันที หากคุณไม่เคารพคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าพวกเขาไม่เคารพคุณ เท่ากับคุณไม่ใช่คนที่เป็นผู้นำ



10. “ฉันรักคุณ” (I love You) เป็นคำพูดทรงพลังที่โอบกอดทุกคนไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่อคนรัก ครอบครัว หรือหมู่เพื่อนสนิท เป็นคำพูดที่ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นมากกว่า “ฉันวางใจในตัวคุณ” หรือ “ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” เป็นคำที่ใช้พูดกับคนที่คุณรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

การพูดว่า “ฉันรักคุณ” เป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับทุกๆคน



----------------------------------------

วันนี้คุณคิดบวกรึยังคะ?


วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

รักตัวเอง


เมื่อพูดถึงความรัก เรามักนึกถึงความรู้สึกที่เรามอบให้คนอื่น แทบไม่มีใครพูดถึงความรักที่เรามอบให้ตัวเอง

ในสายตาของคนจำนวนมาก ความรักตัวเองเป็นภาพของความเห็นแก่ตัว

จริงหรือ?

ความจริงคือ ความรักตัวเองกับความเห็นแก่ตัวไม่เหมือนกัน

ความรักตัวเองเป็นสัญชาตญาณหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์อยู่รอด เมื่อสังคมมนุษย์ทวีความซับซ้อนขึ้น ความรักตัวเองก็ลดระดับลงไปเป็น 'ความเห็นแก่ตัว' เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง น่าชิงชัง

ความรักตัวเองไม่ได้หมายถึงการแย่งอาหารชาวบ้านมากินคนเดียว หรือการแซงคิวคนอื่น ฯลฯ มันมีความหมายที่ลึกกว่านั้นมาก

ความรักตัวเองคือการรักกายภาพของตัวเอง ไม่ว่าเกิดมาหล่อ/สวย หรือไม่ สูงหรือเตี้ย ก็สามารถยอมรับข้อแม้ที่กำหนดโดยธรรมชาติแต่แรกเกิดได้

ความรักตัวเองคือการไม่ทำร้ายตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใส่สารพิษเข้าไปในร่างกายโดยไม่จำเป็น ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ จนเกินจุดที่ร่างกายจะรับได้ ไม่กินอาหารอย่างตะกละตะกลามจนกระเพาะอาหารพัง ไม่แสวงหาความสุขใส่ตัวจนร่างกายเสื่อมสภาพ

ความรักตัวเองคือการไม่เติมความเครียดใส่ตัว ไม่ยอมระบายออกเมื่อโกรธ หรือปล่อยให้อารมณืขุ่นมัวจนพิษลามถึงร่างกาย การตกหลุมแห่งอารมณ์โกรธบ่อยๆ เจ้าคิดเจ้าแค้น จึงเป็นการไม่รักดีอย่างหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่โกรธ หัวใจก็สึกหรอเร็วกว่าเดิม

และที่หลายคนไม่เข้าใจก็คือ ความรักตัวเองคือความกล้าให้อภัยตัวเอง

มนุษย์ทุกคนล้วนเคยกระทำเรื่องไม่ดีมาสักเรื่องสองเรื่องในชีวิต

บางคนทำเรื่องไม่ดีเมื่อยังเด็ก ก่อเรื่องผิดพลาดไว้ และจดจำฝังใจ จนอายุแก่ใกล้ลงโลงแล้วก็ยังไม่ยอมให้อภัยตัวเอง

โจรร้ายอย่างองคุลีมาลที่สังหารคนมากมาย เมื่อกลับใจยังได้รับการให้อภัยและบรรลุจิตขั้นสูง หรือในสำนวนนิยายจีนกำลังภายในคือ "เมื่อวางดาบ ก็บรรลุอรหันต์"

เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร หากเรารักตัวเองไม่เป็น?

มีแต่คุณเท่านั้นที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้ มีแต่คุณเ่านั้นที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้ เพราะคุณต้องลงมือด้วยตัวเอง

ถ้ารักตัวเองจริง ก็ต้องกล้าพอที่จะอภัยให้ตัวเองได้ แล้วเดินหน้าบนหนทางชีวิตที่เหลือต่อไป

เข้าใจ เรียนรู้ เปลี่ยนแปลง แล้วเดินหน้าต่อไป...



วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

เบื้องหลัง "เหงา"


รวมภาพเบื้องหลังหนังสั้นเรื่องแรกในชีวิต "เหงา"

ฉากเปิดเรื่อง ถ่ายทำที่ SP Mansion รามคำแหง 65

ฉากสำคัญอีกฉาก ถ่ายทำกันที่นี่

ระหว่างรอแสงก็เดินดูดอกไม้ที่ปากคลองตลาดไปพลางๆ


ฉากพระเอกเดินเหงาๆ ที่สวนจตุจักร

เดินทางไปถ่ายที่สวยหลวง ร.9
พระเอกขอนั่งทำอารมณ์
ประชุมกอง

@museum siam

ปิดท้ายด้วยภาพฮาๆ จากพระเอกรูปหล่อพ่อรวย

หนังที่มีธีมซะดิบดี เกี่ยวกับความเหงาของคนๆ หนึ่งในเมืองใหญ่ ทำม้าย ทำไม ถ่ายไปถ่ายมากลายเป็นหนังตลกไปได้ก็ไม่รู้ นั่งตัดต่อไปขำไปจนน้ำตาไหลเป็นทาง

แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้การถ่ายทำผ่านไปด้วยดี ทั้งๆ ที่ทำหนังเรื่องแรกแบบไม่รู้รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสั้นเขาทำกันยังไง

ขอบคุณพระเอกหน้ามนคนหล่อที่แสดงได้อย่างมีพลัง(รั่ว)มากๆ

ขอบคุณนางเอกคนสวยที่กลายเป็นผีฉี่แตก

ขอบคุณตากล้องรูปหล่อ หุ่นล่ำ  -ำใหญ่ ที่ช่วยครีเอทมุมกล้องแปลกๆ สวยๆ

เรื่องสนุกๆ และมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำหนังสั้นเรื่องนี้ จะอยู่ในความทรงจำของเรนตลอดไป...

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

Celebrity in Military Style



ตามสัญญา วันนี้จะพามาดูกันว่ามีเซเลบคนดังคนไหน อินเทรนด์ในชุดสไตล์ทหารกันบ้าง


Michael Jackson ตัวพ่อแห่งวงการแฟชั่น Military ทุกชุดของราชาเพลงป๊อบผู้ล่วงลับ หรูหราแบบไม่ต้องจินตนาการถึงราคาเลยทีเดียว


Rihanna



Beyonce


สาวๆ Girl Generation ผู้ปลุกกระแส Marine Girl ในเกาหลี



สี่สาว Brown Eyed Girls




หนุ่มๆ Big Bang

5 สาว 4 minute


4 สาว 2NE1


After School


Lee Hyori

Rain

ขวัญ อุษามณี

ใหม่ สุคนธวา

หยาด หยาดทิพย์

แอน ทองประสม


หลังจากอัพ Blog วันนี้แล้ว เรนคงต้องไปหาเสื้อผ้าสไตล์ทหารมาใส่บ้างแล้วล่ะ กลัวตกเทรนด์ค่ะ ^^

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

Military Style


ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร อาจเป็นเพราะดูหนังสงครามมากไปหน่อยก็ได้ เลยทำให้รู้สึกคลั่งไคล้แฟชันสไตล์ทหารเป็นพิเศษ แถมมองไปทางไหน วินาทีนี้เหล่า Celeb ทั้งไทยและเทศก็หันมา Chic ในแฟชันแนวทหารนี้กันมากมาย

วันนี้มาดูกันดีกว่าว่ามิกซ์แอนด์แมทซ์ยังไงถึงจะอิน ถึงจะเก๋ โดยที่คนไม่เข้าใจผิดว่าเพิ่งออกจากค่าย หรือกำลังจะไปเรียน ร.ด.

1. เสื้อสไตล์ทหารทรงเก๋ๆ ไม่ว่าจะเป็นแจ๊กเก็ต เสื้อคลุม หรือเสื้อยืด จับมาแมทซ์กับกางเกงตัวโปรด ไม่จำเป็นต้องเป็นสีเขียวทหารเสมอไป สีดำ ขาว น้ำเงิน ก็โฉบเฉี่ยวได้ด้วยลูกเล่นหรือดีไซน์แบบทหาร










2. เดรสสวยสไตล์ Military Girl ใส่แล้วน่ารักดูดีมีสไตล์แบบไม่หวานเกินไป แถมแอบเก๋เท่ส์สุดๆ ด้วยนะตัวเธอ



3. รองเท้าบูทคู่สวย เลือกคู่ที่ใส่สบาย ไม่อึดอัดจนเกินไป มิกซ์ให้เข้ากับชุดสวย แค่นี้ก็เฉี่ยวเกินใคร



 4. Military Accessory ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าทรงเก๋สีเขียวทหาร หมวกทรงหม้อตาลแบบทหาร สร้อยคอป้ายชื่อหรือต่างหูสีเงินๆ โลโก้แบบทหาร เข็มกลัด เข็มติดยศ หลากสีสัน นาฬิกาสไตล์ทหาร ผ้าคาดหัวแบบแรมโบ้ เข็มขัดหัวโลหะ หรือที่กำลังมาแรงเลยก็คืออินธนูติดบ่าหลากสไตล์  เลือกมาประดับได้ตามความเหมาะสม แค่นี้ก็เพิ่มความเก๋ให้กับชุดสวยของคุณได้อย่างไม่เหมือนใคร
























อัพเดทแฟชั่นทหารไปแล้ว คราวหน้าจะพาไปแอบดูกันค่ะ ว่ามีเหล่า Celeb คนไหน สุด Chic ในสไตล์ Military นี้กันบ้าง