วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หนัง/ยิว/สงคราม/ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

วันนี้ได้ดูหนังเรื่อง Schindler’s List (อีกรอบ) ร้องไห้(อีกแล้ว) ให้กับประกายความคิดแห่งชีวิตและความหวังในเรื่อง แล้วก็ทอดถอนใจกับตัวเอง สงคราม ความขัดแย้งและการฆ่าฟันของมนุษย์ด้วยกัน มีมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและคงจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด ตราบใดที่คนยังไม่สามารถเข้าใจ และยอมรับใน "ความแตกต่าง" 

ว่าแล้วก็ชวนให้นึกถึงหนังที่พูดเรื่องของ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ของนาซีอีกสองเรื่อง คือ The Pianist และ Life is beautiful หนังที่พูดในเรื่องเดียวกัน แต่ถ่ายทอดออกมาคนละความรู้สึก...

วันนี้ขอเขียนถึงหนังทั้ง 3 เรื่อง(เดียวกัน) นี้เลยแล้วกัน


Schindler's List (1993) 



การันตีได้จากฝีมือของพ่อมดแห่งวงการหนังอย่าง Steven Spielberg และรางวัลจากหลายสถาบันชั้นนำทั่วโลกได้เลยว่าคอหนังพลาดชมเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง หนังบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของ Oskar Schindler นายทุนชาวเยอรมันที่ตั้งโรงงานทำธุรกิจ หาผลประโยชน์จากแรงงานชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

หลังจากที่ Schindler ได้สัมผัสกับความโหดร้ายทารุณ และการเหยียดเชื้อชาติระหว่างที่เขาทำธุรกิจในโปแลนด์ ชีวิตของชาวยิวที่แสนต่ำต้อย ด้อยค่า และพร้อมจะถูกปลิดไปด้วยน้ำมือทหารเยอรมันทุกเมื่อ ทำให้สายตาของเขา เปลี่ยนไป เขาสละทุกสิ่งที่สร้างขึ้น เงินทองแทบทั้งหมดที่หามาได้เพื่อแลกกับชีวิตชาวยิวในโรงงาน ด้วยการวิ่งเต้นและติดสินบนเพื่อช่วยเหลือชีวิตชาวยิวให้อยู่รอดได้มากที่สุด


Schindler ควบคุม Itzhak Stern ในการพิมพ์รายชื่อชาวยิวที่จะย้ายไปยังโรงงานในเช็คโกสโลวาเกีย บ้านกิดของเขา เพื่อให้ทุกคนรอดจากการส่งตัวไปค่ายสังหารที่ Auschwitz ฉากนี้เองเป็นที่มาของชื่อเรื่อง Schindler's List (รายชื่อของ  Schindler)


หนังความยาว 195 นาที ถ่ายทอดมาเป็นภาพขาว-ดำ เกือบตลอดทั้งเรื่อง ให้ความรู้สึกหดหู่อย่างล้ำลึก ยกเว้นฉากในตอนท้ายที่ชาวยิวในรายชื่อของ Schindler พร้อมทายาทเดินมาวางหินบนหลุมศพของ Schindler ภาพจึงได้เปลี่ยนเป็นภาพสีที่แสดงถึงปัจจุบัน

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังสองเรื่องที่พูดถึงชาวยิวของ Spielberg เรียกได้ว่าใครจะมาถ่ายทอดความรู้สึกของคนยิวได้อย่างล้ำลึก ไปมากกว่าคนยิวจากสายเลือดเช่นเขา บางฉากบีบเค้นอารมณ์จนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่บางฉากบอกเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา นี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้

Schindler เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ยอมให้ความคิดเรื่องความแตกต่างทางชาติพันธุ์ มาแบ่งแยกคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ฉากท้ายเรื่องตอนที่สงครามสิ้นสุด เยอรมันประกาศยอมแพ้ และตัวเขาในฐานะสมาชิกพรรคนาซีต้องกลายเป็นอาชญากรสงคราม แสดงความรู้สึกของคนหนึ่งคนที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และรู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีพอ จน Stern ผู้ช่วยของเขาได้กล่าววลีเด่นของหนังเรื่องนี้ออกมาว่า "Whoever saves one life,saves the world entire"




The Pianist (2002) 




หนังยิวของผู้กำกับยิวอีกเรื่อง แต่คราวนี้ Roman Polanski ถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาของเหยื่อสงคราม จากอัตชีวประวัติของ Wladyslaw Szpilman นักเปียโนชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว เขาและครอบครัวต้องเตรียมรับมือเมื่อพรรคนาซีเยอรมันเข้ายึดโปแลนด์ และเริ่มประกาศกฎจำกัดสิทธิชาวยิวทีละนิด ตั้งแต่จำกัดเงิน บังคับให้ติดสัญลักษณ์ดาวเดวิดหกแฉก กวาดต้อนให้เข้าไปอยู่ในค่ายกักกันที่แออัด


ในที่สุด ครอบครัวของ Szpilman ก็ถูกกวาดต้อนขึ้นรถไฟไปยังค่ายนรก Auschwitz เหลือแต่เขาเพียงผู้เดียวที่รอดมาจากความช่วยเหลือของตำรวจที่ทำงานให้กับเยอรมัน เขาต้องหลบหนี ซ่อนตัวอยู่เพียงลำพังและอดอยาก จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อไก้พบกับ Wilhelm Hosenfeld  ทหารเยอรมันซึ่งขอให้เขาเล่นเปียโนให้ฟัง เมื่อนั้น บทเพลงแห่งความอัดอั้นทุกสิ่งทั้งความกลัว ความหวัง ความอ้างว้าง ความคับแค้นใจ ของคนที่แทบไม่เหลืออะไรในชีวิต แต่ยังเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณทางดนตรี ก็ได้พรั่งพรูผ่านปลายนิ้วเป็นบทเพลงที่ทรงพลัง

Wilhelm Hosenfeld ขอให้ Szpeilman เล่นเปีนโนให้ฟัง

ตลอด 148 นาที คนดูจะค่อยๆ ซึมซับความโหดร้ายที่ชาวยิวค่อยๆ ถูกกระทำทีละนิด หลายฉากถูกเล่าราวกับเรื่องทั่วไปแต่บาดลึกสะเทือนอารมณ์ ลุ้นระทึกจนแทบหยุดหายใจ โทนสีของหนังช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไปจะออกแนวทึมๆไม่ต่างจากอารมณ์ของ Szpilman

ฉากบีบอารมณ์อีกฉาก ทหารเยอรมันเดินยิงหัวคนยิวที่นอนอยู่ทีละคน จนถึงคนสุดท้าย กระสุนหมด ชายคนนั้นต้องนอนรอฟังเสียงบรรจุกระสุนก่อนจะถูกยิงในที่สุด

Adrien Brody ที่มารับบท Szpilman ถ่ายทอดอารมณ์ความกลัว หดหู่ อ้างว้าง ออกมาทางสีหน้าแววตาได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะคว้ารางวัลออสการ์ดารานำชายไปครอง อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Thomas Kretschmann ในบท กัปตัน Wilhelm Hosenfeld ที่ออกมาไม่กี่ฉาก บทพูดไม่กี่คำ แต่คนดูไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย

Adrien Brody รับบท Wladyslaw Szpilman


Thomas Kretschmann ในบท กัปตัน Wilhelm Hosenfeld


ฉากของเรื่องเป็นอีกความสุดยอดของเรื่องนี้ ไม่เสียทีที่เป็นหนังร่วมระหว่างประเทศ 4 ประเทศ (อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และโปแลนด์) โดยฉากที่ติดตาที่สุด น่าจะเป็นฉากที่ Szpilman เดินอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางเมืองที่ถูกถล่มจนบ้านเรือนกลายเป็นซากปรักหักพังไม่ต่างจากชีวิตของเขา บอกถึงความโหดร้ายของสงครามได้เป็นอย่างดี

 





Life is Beautiful (1997)


มาถึงเรื่องสุดท้าย ที่ไม่กล่าวโดยเรียงเรื่อง Life Is Beautiful นี้ไว้กลางตามลำดับเวลาที่เข้าฉาย ก็เพราะหนังเรื่องนี้ต่างจากสองเรื่องแรกตรงที่ เป็นหนังที่เล่าการมองเรื่องสงครามอันโหดร้ายในแง่ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปูเรื่องที่ Guido Orefice ชาวอิตาลีเชื้อสายยิวผู้ร่าเริงและมองโลกในแง่ดี ไปหลงรักกับสาวต่างฐานะอย่าง ดอร่า จีบกันไป จีบกันมาเกือบปาไปครึ่งเรื่องจนมีลูกมีเต้า

กว่าที่หนังจะเข้าเนื้อหาที่เข้มข้นคนดูก็แทบหลับ เมื่อเข้าสู่ยุคสงคราม กุยโดและโจชัวร์ลูกชายของเขาถูกกวาดต้อนขึ้นรถไฟไปยังค่ายกักกันชาวยิว แม้จะรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายแต่กุยโดยังมองโลกในแง่ดี และพยายามหลอกโจชัวร์ว่าการมาค่ายกักกันเป็นแค่การเล่นเกมเท่านั้น หลายๆ ฉาก แสดงถึงความฉลาดแกมโกงแบบศรีธนญชัยของกุยโดทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คนยิวนี่ฉลาดมาจากสายเลือดจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ร่ำรวยมหาศาลและเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตมากมายอย่างทุกวันนี้

กุยโดหลอกโจชัวร์ว่าการมาค่ายกักกันเป็นการเล่นเกม
ฉากตลกอีกฉากเมื่อกุยโดอาสาแปลภาษาเยอรมันมั่วๆ เป็นกติกาการเล่นเกมให้ลูกฟัง สร้างความงุนงงให้เชลยชาวยิวในห้อง


แม้หนังจะมีภาพของค่ายกักกัน แต่ก็ไม่ได้สื่อออกมาอย่างโหดร้ายรันทดหดหู่ เหมือน The pianist หรือ  Schindler’s List ไม่มีภาพการทารุณกรรมหรือการฆ่ายิงหัวเปรี้ยงๆ แบบตรงๆ แต่สื่ออกมาแบบอ้อมๆ ให้เป็นที่ "รู้กัน" อย่างฉากตอนท้ายที่กุยโดสั่งให้ลูกหลบในตู้ ส่วนตนออกตามหาดอร่าที่ตามตนกับลูกมาแต่ถูกจับได้ กุยโดที่รู้ชะตากรรมของตนยังทำตลกให้ดู เพื่อให้ลูกเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเกม ก่อนหนังจะสื่อให้คนดูรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยเสียงกระสุน 1 นัด
"ยิ้มไว้ โลกนี้ไม่สิ้นหวัง"













วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

น่าน...น่ะสิ

.... ฉันกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมความเหนื่อยล้าและความทรงจำดีๆ

ก่อนไปฉันไม่มีภาพในหัวเลยว่าน่านจะเป็นยังไง แต่พอไปถึงกลับพบว่า น่านเป็นเมืองที่สวยงาม ผู้คนน่ารักอัธยาศัยดีแบบคนเมืองเหนือ ที่นั่นอากาศดี

งานของฉันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพื่อนร่วมงานถึงไม่สนิทกันแต่พี่ๆ ทุกคนก็น่ารัก และคอยช่วยเหลือฉันเป็นอย่างดี ติดตรงที่ว่าฉันไม่ชินกับการอยู่กับผู้ชาย(แท้ๆ) เลยทำตัวไม่ถูก ทำให้ดูนิ่งและหยิ่งไปบ้าง

ฉันเอาชนะความเหงาได้ นอนคนเดียวอย่างปลอดภัยสบายใจสบายกายทั้งสองคืน

ที่สำคัญก็คือ ฉันได้ไปไหว้ศาลหลักเมืองที่สวยงามตามศิลปะล้านนา และพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำปีเกิดมาด้วย รู้สึกดี เป็นสิริมงคลกับชีวิตที่กำลังเหนื่อยล้านี้เอามากๆ เลย

น่านไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับอะไร แต่วัดวา บ้านเรือน สถาปัตยกรรมล้านนาหลายแห่งมีความสวยงามมาก เท่าที่เห็นมีฝรั่งขี่จักรยานชมเมืองบ้างประปราย นี่หละเสน่ห์ที่ทำให้น่านน่าเที่ยว ความสงบที่ยังไม่เป็นที่นิยม ทำให้น่านต่างจากปายและเชียงคาน ที่ตอนนี้คล้ายถูกจัดฉากเพื่อรองรับการท่องเที่ยว

ขอให้ได้กลับไปที่นั่นอีกสักครั้งเถอะ คราวหน้าถ้าไม่ได้ไปทำงาน จะเดินเที่ยวให้ทั่วเมืองเลย...

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เช้าวันศุกร์(ที่ไม่ค่อยหรรษา)

ทุกคนย่อมเคยมีความรู้สึกกลัว

วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันกลัวและกังวลในหลายเรื่อง งานใหม่ สังคมใหม่ ที่สำคัญการเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดครั้งนี้ฉันต้องนอนคนเดียว

ไม่เคยสักครั้งเลย ที่ต้องทำงานกับคนอื่นนอกจากบรรดาเพื่อนสาวแท้สาวเทียม ทุกคนล้วนเป็นคนรู้ใจ เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ฉันแทบจะเรียกได้ว่าตัวคนเดียว


คิดอยากจะถอย คิดจะหาคนไปแทน คิดจะหาวิธีการในการไม่ไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายหัวใจมันก็ร่ำร้องให้สู้ สู้วะ งานมันจะยาก จะหนักหนา มันจะเหงา มันจะน่ากลัวเท่าไหร่ ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้

กลับมาจากทำงานที่น่านครั้งนี้ได้ ก็จะถือว่าฉันผ่านบททดสอบไปอีกขั้นแล้วสินะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน



วันนี้ได้นั่งเขียนบทความเพื่อเข้าส่งประกวดหนังสั้นหัวข้อ จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน หวังว่าคณะกรรมการคงเห็นแนวคิดที่แฝงไว้อย่างไม่ลึกเกินไปในเรื่องของเราบ้างนะ


.................................................................................................................................
 
ผมมีชื่อว่าภาคภูมิ สีทองคำ เป็นเด็กวัด ใช่ครับ ผมเป็นแค่เด็กวัดธรรมดาๆ คนหนึ่ง 

ผมเป็นเด็กที่มีความสุขตามอัตภาพ มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอน แต่คงจะดีมากถ้าไม่มีพวกไอ้จ่อย มันชอบรังแกผม รังแกได้ทุกเวลา หาวิธีมาแกล้งผมได้สารพัด ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเด็กวัดเหมือนผม เพียงแต่มันมีพ่อแม่ ไม่ใช่เด็กกำพร้าเหมือนผม ผมสัญญากับตัวเอง ว่าสักวันจะต้องมีพร้อม มีมากกว่ามัน แล้วผมจะมาหัวเราะใส่หน้ามัน

ด้วยความที่โตมากับวัด  ที่นี่จึงเป็นโรงเรียนชีวิตผมไปโดยปริยาย 
ผมเห็นชาย-หญิง มาขอฤกษ์แต่งงาน พอแต่งงานมีลูกก็มาขอให้พระตั้งชื่อให้ พอลูกโตก็ได้บวชเรียน แล้วก็วนสู่การครองเรือนเป็น วัฐจักรของชีวิต แล้วลงท้ายที่การตาย   

เมื่อตอนยังเล็กผมไม่เข้าใจความตายเท่าใดนัก เห็นแต่ญาติคนตายในงานศพโศกเศร้าที่สูญเสียคนอันเป็นที่รัก ผมไม่เข้าใจเพราะชีวิตผมไม่มีใครให้อาวรณ์ จนตอนผมอายุได้ 9 ขวบ วันนั้นแม่ไอ้จ่อยถูกรถชนตาย มันร้องไห้ นิ่งซึม และไม่แกล้งผมแบบที่เคยทำ 

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมถามกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ คนเราจะเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาก็ต้องตายทุกคน”

หลวงพ่อยิ้ม ก่อนตอบผม “ก็เพื่อสร้างคุณความดีอย่างไรเล่า”

ผมพบหนทางสร้างความดีตามที่หลวงพ่อบอกแล้ว ผม เรียนจบมหาวิทยาลัยเปิดด้วยความพากเพียร และได้ทำงานเป็นนักข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ข่าวที่ผมเขียนล้วนยืนเคียงข้างประชาชน ผลงานล่าสุดผมรวบรวมหลักฐานมากพอ และกำลังจะเปิดโปงการทุจริตรับจำนำพืชผลทางการเกษตรของนักการเมืองท้องถิ่น

เช็คจากท่าน... วางอยู่บนโต๊ะทำงานผมในเช้าวันนี้ บก.บอกเพียงให้ผมล้มเลิกการขุดคุ้ยข่าวนี้ และขอหลักฐานที่ผมมีทั้งหมดแลกกับเช็คใบนั้น ผมเปิดดูจำนวนเงิน มันมากพอที่จะไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ รถมือสองสักคัน ผมนึกถึงหน้าไอ้จ่อยเวลาที่มันได้แกล้งผม และสุดท้าย นึกถึงคำของหลวงพ่อหลังจากตอบคำถามผมในวันนั้น

“คนเรานะ  ต่างจากสัตว์เดรัจฉานก็ตรงที่มีสมอง เสือมันกินกวางเพื่อเอาชีวิตรอด แต่คนเราประเสริฐกว่านั้น เรามีความกลัว เพื่อป้องกันอันตราย แล้วเจ้าคิดว่าความละอาย มีประโยชน์อะไรกับมนุษย์ คนเรานั้น เลือกได้ ว่าจะทำดี หรือชั่ว เมื่อถึงวันที่เจ้าต้องเลือก จงใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้ดี”

ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานของ บก. วางเช็คใบนั้นลงบนโต๊ะของเขา แล้วกลับมาที่โต๊ะทำงานอย่างสบายอารมณ์ จากนั้น เปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเข้า Facebook ….





วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เรื่องดอกดอก

เคยโดนด่าว่า "ดอก" มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งด่าเล่นๆ และด่าจริงจัง ...

....แต่ก็ไม่เคยโกรธสักครั้ง เพราะรู้สึกว่า คำว่า ดอก ไม่ใช่คำด่าที่น่าจะเสียหายตรงไหน เพราะดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหน หรืออยู่ที่ใด ก็มีเสน่ห์และความสวยงามอยู่ในตัวมันเอง ถ้าโลกนี้ไม่มีดอกไม้ พืชหลายๆ ชนิดก็คงสูญพันธุ์ไป

ความสวยงามของรูปทรงและสีสันตามธรรมชาติของดอกไม้ เป็นอีกอย่างที่ฉันหลงไหล และชอบถ่ายภาพไว้เป็นที่สุด

















ส่วนดอกสุดท้าย มีคนชื่นชมเรนเสมอๆ ว่าสวยงามมีคุณค่าเหมือนกับดอกนี้



วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความจริงสีเลือด

....ความจริงสีเลือด เป็นบทหนังสั้นที่เรนเขียนเอาไว้ตั้งแต่ ตุลาคม 2551 เพื่อใช้ในการสอบเขียนบท

ถามว่าอยากหยิบบทตัวนี้ขึ้นมาทำเป็นหนังสั้นจริงๆ รึเปล่า ตอบได้เลยว่าอยากมาก!! แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ขาดทีมงาน ขาดทุน ขาดเวลา หาตัวนักแสดงที่มารับบทนำได้ยากมาก ทำให้ ความจริงสีเลือด เป็นตัวหนังสือในกระดาษ ที่ยังไม่มีใครหยิบมาทำให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวสักที

ถ้ามีใครสนใจอยากเอาบทเรื่องนี้ไปทำ ติดต่อมาได้นะคะ



บทภาพยนตร์สั้น เรื่อง ความจริงสีเลือด

Scene 1 ภายใน/โต๊ะรับประทานอาหาร/เวลาเช้า
- Fade In -
MS พ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟ ส่วนแม่กำลังจัดวางชามช้อนบนโต๊ะอาหาร
พ่อ          :     เอ๊ะ! ข่าวนี่...มันโรงเรียนตาบาสนี่
แม่          :      ข่าวอะไรหรอคะคุณ
พ่อ          :    (หันหนังสือพิมพ์ให้แม่ดู) นี่ไง นักเรียนชาย ม.6 คลั่ง ถูกแฟนสาวบอกเลิก บุกไปยิงลุงของผู้หญิงที่เป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกันถึงบ้าน แล้วยิงตัวตายตาม แต่ผู้หญิงเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำเลยรอดตาย
- บาสแต่งชุดนักเรียนถือกระเป๋าลงมาจากชั้นบน เดินมาที่โต๊ะอาหาร
แม่          :      ตาบาสลงมาพอดี
พ่อ          :      บาส รู้ข่าวนักเรียนโรงเรียนลูกยิงครูตายรึยัง
บาส        :      ครับ เพื่อนผมโทรมาบอกเมื่อคืน
แม่          :      แล้วลูกรู้จักกับคนก่อเหตุรึเปล่า
บาส        :      (พยักหน้า) ครับ เคยคุยกันสองสามครั้ง เขาเป็นรุ่นพี่ที่ชมรมคณิตศาสตร์ ปกติก็เงียบๆ ไม่มีท่าทีว่าจะก้าวร้าวเลย ได้ยินมาว่าเขาเรียนเก่งมากด้วยซ้ำ
พ่อ          :      นี่แหละนะ เพราะอารมณ์ชั่ววูบแท้ๆ สื่อสมัยนี้ก็มีแต่สิ่งยั่วยุให้เด็กมีอารมณ์รุนแรง
- บาสที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากชะงัก แย้งขึ้น
บาส        :      โอ๊ย! ไม่จริงหรอกครับพ่อ ผมก็รับสื่อเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมไม่มีวันทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้เด็ดขาด มันอยู่ที่ตัวคนต่างหากว่าจะคิดได้แค่ไหน
แม่          :      (เดินมาจับไหล่บาส) รู้แล้วจ้าว่าลูกแม่เป็นเด็กดีมีความคิด แต่ตอนนี้รีบทานเข้าเถอะเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย

- Fade Out -

Scene 2 ภายใน/ห้องนอนของบาส/กลางคืน (ดึก)
- Fade In-
- บาสนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วสายตาที่จับจ้องตัวหนังสือพลันชะงัก เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของใครสักคน
บาส        :      (พึมพำกับตัวเอง) อีกแล้วหรอเนี่ย
- บาสเดินไปที่ผนังห้องด้านที่ติดกับห้องพ่อแม่ เอาหูแนบ...เสียงสะอื้นชัดขึ้น มันคือเสียงของแม่
บาส        :      (แววตาครุ่นคิด พูดเบาๆ กับตัวเอง) แม่ร้องไห้แบบนี้มาตั้งหลายคืนแล้ว นี่มันเรื่องอะไร แม่เป็นอะไร
- ตัดไป -

Scene 3 ภายนอก/หน้าบ้านของบาส/เวลาเช้า
- ตัดมา -
- บาสแต่งชุดนักเรียน ถือกระเป๋าออกมาพบแม่กำลังตากผ้าอยู่ที่ราวหน้าบ้าน
แม่          :      อ้าว! จะไปโรงเรียนแล้วหรอลูก ทานข้าวก่อนสิแม่เตรียมไว้ให้บนโต๊ะแน่ะ
บาส        :      แม่ครับ..(ขยับทำท่าจะพูดต่อแต่ชะงัก เปลี่ยนใจเป็นมองหน้าแม่แบบหาความจริงเงียบๆ)
แม่          :      (สีหน้าแปลกใจ) มีอะไรหรอลูก
บาส        :      ไม่มีอะไรครับ บาสแค่จะบอกว่าวันนี้อาจจะกลับช้าหน่อย จะไปงานเผาศพอาจารย์น่ะครับ บาสไปนะครับวันนี้รีบ
- บาสไหว้แม่แล้วรีบเดินออกไป
- ตัดไป -


Scene 4 ภายนอก/ที่ทำงานของพ่อ/เที่ยง (วันเดียวกัน)
- ตัดมา -
LS บาสไม่ได้ไปโรงเรียน มาแอบดูพ่อที่ทำงานเงียบๆ
- บาสเห็นรถพ่อเลี้ยวออกมาจากที่ทำงาน จึงนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างตามไปห่างๆ
- รถของพ่อเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง
- ตัดไป -
Scene 5 ภายใน/ล๊อบบี้โรงแรม/ต่อเนื่อง
- ตัดมา -
- บาสเดินตามพ่อเข้ามาที่ล๊อบบี้โรงแรม
- พ่อหยุดที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ บาสยืนแอบดูอยู่มุมเสาต้นใหญ่ไม่ไกลนัก
พ่อ                          :      มาพบคุณวิภาดาครับ
ประชาสัมพันธ์     :      คุณวิภาดา เศรษฐีสุนทร ผู้บริหารที่นี่ใช่ไหมคะ นัดไว้รึเปล่าคะ
พ่อ                          :      ครับ
- ประชาสัมพันธ์ยกหูโทรศัพท์ขึ้น แต่แล้วก็วางลง
ประชาสัมพันธ์     :      นั่นคุณวิภาดาเดินมาพอดีเลยค่ะ
- พ่อหันหลังไปพบวิภาดาและยิ้มให้
วิภาดา                    :      ไหนของที่สัญญาว่าจะเอามาให้ดาล่ะคะ
- พ่อหยิบอัลบัมรูปจากกระเป๋ายื่นให้เธอ
- วิภาดารับอัลบัมรูปไปพลิกดูอย่างตื่นเต้น มีหน้าตายิ้มแย้ม
- บาสที่แอบมองและแอบฟังอยู่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว
บาส                        :      (พูดเบาๆ กับตัวเอง น้ำเสียงสั่นด้วยความโกรธ) เมียน้อยพ่อ? นั่นคงเป็นรูปตอนแอบไปเสวยสุขกันล่ะสิ ผู้หญิงหน้าด้าน พ่อใจร้าย ทำให้แม่ต้องนอนร้องไห้ทุกคืน
วิภาดา                    :      (เงยหน้าจากการดูรูปมองหน้าพ่อ) ตายจริง ดามัวดูรูปเพลินจนปล่อยให้คุณยืนรอซะนาน เชิญที่ห้องอาหารเถอะค่ะ มื้อนี้ดาเลี้ยงเอง
- บาสหันหลังกลับ เดินออกจากโรงแรมไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
- Fade Out-
Scene 6 ภายใน/ห้องนอนของบาส/เวลาค่ำ
- Fade In -
- บาสนั่งอยู่บนขอบเตียงในห้องมืดมิดมีเพียงแสงรำไรจากไฟหัวเตียงเพียงดวงเดียว
- แม่เปิดประตูเข้ามา แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ บาส
แม่          :    ทำไมนั่งอยู่มืดๆ แบบนี้ล่ะลูก บาส...คุณครูที่ปรึกษาของลูกโทรศัพท์มาบอกแม่ว่าลูกไม่ไปโรงเรียนมาหลายวันแล้ว แต่แม่เห็นบาสแต่งชุดนักเรียนออกไปทุกวันนี่ลูก
- บาสยังคงนั่งนิ่ง
แม่          :      แม่จะไม่ตำหนิลูกหรอกนะ สมัยเรียนแม่เองก็เคยหนีโรงเรียน เด็กวัยรุ่นก็ต้องอยากมีเวลาออกไปสนุกสนานกับเพื่อนบ้าง แต่แม่อยากให้บาสแบ่งเวลาให้เหมาะสม แม่เชื่อว่าลูกของแม่ทำได้ ลูกเป็นเด็กดีเรียนดีมาตลอด
- บาสยังคงก้มหน้านิ่ง แม่ลูบหัวเขาเบาๆ
แม่          :      แม่จะไปอยู่บ้านคุณยายสักพักนะลูก มีปัญหาอะไรโทรหาแม่ได้ตลอดนะจ๊ะ
บาส        :      ทำไมแม่ต้องไปครับ
แม่          :      (เสียงสั่นเครือ) อีกไม่นานลูกจะเข้าใจจ่ะ แม่อยากให้ลูกรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่รักลูกมาก รักมากที่สุดนะจ๊ะ
- แม่กลั้นสะอื้น หอมแก้มบาสเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
- แสงไฟจากประตูที่แม่เปิดทิ้งไว้สาดส่องให้เห็นเงาร่างของบาส บาสยังคงนั่งก้มหน้านิ่งในท่าเดิม มือสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่น น้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม
- Fade Out -


Scene 7 ภายใน/บ้านของบาส/เวลาเย็น
- Fade In -
- บาสกลับจากโรงเรียน กำลังถอดรองเท้าเข้าบ้านเห็นรองเท้าผู้หญิงคู่หนึ่งวางอยู่
บาส        :      (น้ำเสียงดีใจ) แม่กลับมาแล้ว
- สีหน้าบาสเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดเมื่อมองรองเท้าคู่นั้นอีกครั้ง
บาส        :      ไม่ใช่สิ แม่ไม่เคยใส่รองเท้าส้นสูง นี่พ่อกล้าพามันเข้าบ้านเชียวหรอ
- บาสเดินเข้าบ้าน ตัวสั่นเทาด้วยแรงโทสะ มองเห็นมีดปลายแหลมเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร จึงหยิบติดมือเดินขึ้นไปชั้นบน
- บาสเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของตนเอง ผู้หญิงที่ชื่อวิภาดาคนนั้นนั่งอยู่บนเตียง กำลังลูบคลำหมอนของเขา
- วิภาดามีสีหน้าตกใจระคนตื่นเต้นยินดี เมือเห็นบาส เธอลุกขึ้นยืนมองหน้าเขาสักครู่ แล้วเดินเข้าไปหา
วิภาดา    :      (เสียงติดขัดด้วยความประหม่า) เอ่อ...สวัสดีจ่ะ ชั้นชื่อวิภาดา เป็น..
- ฉึก! มีดในมือบาสเสียบเข้าที่ท้องวิภาดา
- วิภาดาร้องไม่ออก ดวงตาเบิกกว้าง มองหน้าบาสด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เจ็บปวด งุนงงไม่เข้าใจ น้ำตาไหลพรากลงมาจากหางตา มือเธอจับสองแขนของบาสแน่น แต่ไม่ได้ขัดขืนต่อสู้
- บาสพยายามสะบัดแขนออกแต่ไม่เป็นผล จึงแทงเธอซ้ำอีกหลายครั้ง แล้วแกะมือเธอออกอย่างยากเย็น ร่างของวิภาดาทรุดลงนอนกับพื้น น้ำตาพรั่งพรู
วิภาดา    :      (ส่งเสียงเหมือนพยายามพูด ตาจับจ้องที่หน้าบาส) อ๊อกๆ ชั้น.. อะๆ
- ร่างที่นอนบนพื้นกระตุกอย่างแรงสองสามครั้งก่อนแน่นิ่งไป ดวงตาเหลือกลาน เลือดไหลนองพื้น
- บาสยืนมองร่างไร้วิญญาณของวิภาดาด้วยสายตาเย็นชา
บาส        :      ตายซะเถอะ แกมันสมควรตายแล้ว แกทำให้แม่ต้องไปจากฉัน ทำให้ครอบครัวเราแตกแยก
- ตัดไป -


Scene 7 ภายใน/โต๊ะรับประทานอาหาร/ต่อเนื่อง
- ตัดมา -
- บาสนั่งนิ่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร พ่อเดินถือของพะรุงพะรังเข้ามา
พ่อ          :      บาสกลับมานานแล้วหรอลูก
- บาสเงียบ แต่พ่อไม่ได้ใส่ใจวางของลงบนโต๊ะหน้าลูกชาย
พ่อ          :      ของโปรดลูกทั้งนั้นเลยนะ วันนี้มีแขกมาทางข้าวกับเรา แต่ก่อนอื่น พ่อมีเรื่องต้องบอกลูก
บาส        :      (เหยียดยิ้มมุมปาก) ผมก็มีเรื่องจะบอกพ่อเหมือนกัน
พ่อ          :      เรื่องอะไรหรอลูก เอาไว้ทีหลังเถอะนะ
- พ่อนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบาส สีหน้าจริงจัง
พ่อ          :      สมัยพ่อเรียนโทที่บอสตัน พ่อพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยความใกล้ชิดทำให้เราคบหากันจนเธอท้อง แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว เป็นผู้ชายฐานะชาติตระกูลเหมาะสมกันที่ทางบ้านเธอหาไว้ให้ เธอคลอดจนเด็กอายุได้ 4 เดือน ก็ถูกเรียกตัวกลับมาเมืองไทย ไม่นานพ่อก็พาเด็กคนนั้นบินกลับมาด้วย
- บาสงุนงง มองพ่ออย่างไม่เข้าใจ
พ่อ          :      หลังจากกลับมาอยู่เมืองไทย พ่อก็เลี้ยงเด็กคนนั้นด้วยตัวเองมาตลอด จนมาพบกับแม่ของลูก แม่เป็นผู้หญิงจิตใจดีและที่สำคัญเธอเอ็นดูลูกของพ่อมาก พ่อกับแม่เลยแต่งงานกัน
- บาสมีสีหน้าตกใจ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
บาส        :      พ่อหมายความว่า...
พ่อ          :      (พยักหน้า) ใช่ เด็กคนนั้นคือลูก
- บาสตกใจและงุนงงอย่างมากกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
พ่อ          :      ตั้งแต่แม่ออกจากบ้านไปลูกก็เปลี่ยนไปมาก พ่อรู้ว่าลูกไม่เข้าเรื่องที่เกิดขึ้น คือตอนนั้นพ่อกับแม่คุยกันแล้ว เราเห็นว่าลูกโตพอที่จะรู้เรื่องนี้ แต่แม่เขาทำใจไม่ได้ เขากลัวว่าลูกจะไม่รักเขาเหมือนเดิมถ้ารู้ว่าเขาไม่ใช่แม่แท้ๆ แม่นอนร้องไห้ทุกคืนจนทนไม่ไหวต้องไปอยู่บ้านคุณยายเพื่อให้เราพ่อลูกได้คุยกันเรื่องนี้เอง
- บาสมองหน้าพ่อ รู้สึกผิดที่เข้าใจทุกอย่างผิดมาตลอด
พ่อ          :      ส่วนแม่แท้ๆ ของลูก พ่อพบกับเธอเมื่อไม่นานมานี้ เธอบอกกับพ่อว่าเธอพยายามตามหาลูกกับพ่อมาตลอด ช่วงหลังพ่อกับเธอคุยกันมากขึ้น จนเรากลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
- บาสพูดไม่ออก น้ำตาคลอเบ้า
พ่อ          :      มันอาจจะเร็วเกินไป แต่วันนี้พ่อพาแม่แท้ๆ ของลูกมาพบลูก เธอตื่นเต้นมากจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าลูกพร้อมเราจะขึ้นไปพบเธอด้วยกัน เธอรออยู่ในห้องลูก
CU ที่หน้าบาส เขาช็อคสุดขีด น้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม สะอื้นแรงโดยไร้เสียง
พ่อ          :      พ่อรู้ว่ามันยากสำหรับลูกที่จะทำใจได้ ถึงเธอจะจะไม่ได้เลี้ยงลูกมา แต่ยังไงเธอก็คือผู้ให้กำเนิด เธอรอคอยมา 16 ปีเพื่อที่จะได้พบลูก ไม่กี่วันก่อนพ่อเอารูปของลูกไปให้เธอดู เธอยังชมว่าลูกเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อมาก แล้ว...
- บาสลุกขึ้นปัดข้าวของบนโต๊ะแตกกระจาย แล้วทรุดลงนอนงอตัวกับพื้น  เอามือปิดหน้า  สะอื้นเสียงดัง
- พ่อตกใจและแปลกใจกับการกระทำของลูกชาย  นั่งลงเขย่าตัวบาส
พ่อ          :      บาส บาส ลูก.....
Zoom Out จากโต๊ะรับประทานอาหารถึงประตูบ้าน จนเห็นสภาพบ้านโดยรวม
ฟรีซภาพ เสียงตะโกนของบาสดังขึ้น มันโหยหวนจนน่าขนลุก
บาส        :      ไม่........ ไม่จริง   อ๊ากกกกกกกกกกกก
CU อ่างน้ำหน้าบ้าน กลีบสีแดงของดอกหางนกยูงร่วงลงสู่ผืนน้ำใสในอ่าง เหมือนเลือดที่หยดบนกระจกใส (เสียงเพลงประกอบ จังหวะช้า สะเทือนอารมณ์)
- Fade Out -

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Compact มา Show

ยังไม่มีบุญวาสนาได้ครอบครองกล้อง DSLR กับเขาเสียที แต่เจ้า Compact คู่ใจก็รับใช้เราได้เต็มประสิทธภาพของมัน แถมพกพาง่ายอีกต่างหาก ถ่ายรูปออกมาก็ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ซะด้วยสิ

วันนี้มีภาพจากเจ้าคู่ใจ Panasonic Lumic FS 5 มาโชว์ แบบไม่แต่งอะไรทั้งสิ้นนอกจาก Crop


หอรัชมงคล สัญลักษณ์ของสวนหลวง ร.๙

คอหมูย่าง ร้านหน้าซอยมังกร อัมพวา

ยามเย็น ที่ไร่ทองสมบูรณ์ ปากช่อง


ตุ๊กตาดินเผาน่ารักๆ ที่บ้านสวนระเบียงน้ำ อัมพวา

น้องติ๋มลูกสาวสุดที่รัก

Sunset @ Malee Blue Resort เกาะสีชัง

หอยและหิน เกาะล้าน

ณ สะพานพระราม 8

ตุ๊กตาหมาหลากสี @Amphawa

ลั่นทมโรย วัดจุฬามณี อัมพวา

ขนมแสนน่ากิน(แต่กินไม่ได้) ที่พิพิธภัณฑ์ขนมไทย อัมพวา

ยามเย็น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

หญ้าที่ปลูกเพื่อนำไปทำน้ำคลอโรฟิลด์ ที่ฟาร์มโชคชัย สระบุรี

เหงา

ตุ๊กตามด @Amphawa

ระฆัง ณ วัดบางพลีใหญ่ใน

โบสถ์คริส อาสวิหารแม่พระบังเกิด บางนกแขวก

ปลาหมึกไข่ย่าง


เจ้าหนูกับคุณตาบนรถไฟ สาย วงเวียนใหญ่-มหาชัย


น้ำมะเน็ดหลากสี

แมลงตัวน้อย