วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าเช้าวันฝนพรำ ฉบับ ReWrite

วันนี้ขอนำเรื่องเก่าที่เคยเล่าไว้ใน Facebook มาเล่าใหม่โดยดัดแปลงและเพิ่มเติมบางส่วน ^^

หลังจากที่ชั้นกับบิ๊กได้นั่งคุยนั่งวิพากษ์นั่นนี่ เมื่อรวมกับความคิดในหัวที่เก็บสะสมมาเรื่อยๆ และใช้การประมวลเองมาอย่างต่อเนื่อง.. เลยรู้สึกอยากบันทึกเอาไว้ซะหน่อย เผื่อมีใครมาติดต่อมอบรางวัลโนเบลสาขาทำลายสันติภาพ

>>>>>>>>>> 

Chapter 1  ความแตกต่าง


 มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ใครที่เคยเรียนชีววิทยามาน่าจะรู้ดีว่า แค่โครโมโซมมนุษย์ ก็มีความซับซ้อนอย่างมหาศาล ซึ่งความซับซ้อนนี้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ความแตกต่าง สีตา สีผม สีผิว ส่วนสูง เส้นลายมือ ล้วนถูกกำหนดโดยการคัดสรรตามธรรมชาติที่ออกแบบมา เพื่อให้เกิดความแตกต่างมากที่สุด

แล้วทำไม สิ่งมีชีวิตต้องมีความแตกต่าง ?

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพื่อความอยู่รอดนั่นเอง

ลองคิดดูว่า ถ้าเราต้องการบริโภคปลาชนิดเดียวกันเหมือนกันหมด ปลาชนิดนั้นคงสูญพันธุ์
....แล้วเราก็คงต้องอดตาย...

แต่สิ่งที่ทำให้เราอยู่รอด ก็เป็นตัวสร้างปัญหาให้เราเช่นกัน

มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เรื่องราวใหญ่โตที่นำมาซึ่งความสูญเสีย สงครามครูเสด/ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซี/การฆ่าพวกนอกรีตในยุโรปยุคกลาง และอีกมากมายนับไม่ถ้วน...

ไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างปัญหาครอบครัว แฟนทะเลาะกัน ปัญหาในที่ทำงาน ฯลฯ

แม้แต่เรื่องราวในบ้านเมืองเราตอนนี้ ไม่ได้เกิดจาก "การไม่ยอมรับในความต่าง" หรอกหรือ
ถ้ากูเป็นเสื้อเขียว คนอื่นก็ต้องเขียวอย่างกู ถ้ากุเป็นเสื้อฟ้า คนอื่นก็ต้องฟ้าแบบกุ .....
......ใครไม่เห็นด้วย ใครเป็นพวกเสื้อส้ม เสื้อเทา เสื้อชมพู  ...พวกมันเลว พวกมันชั่ว พวกมันโง่

ถึงอย่างนั้น เราก็คงมองความต่างในแง่ร้ายเพียงมุมเดียวไม่ได้
ความแตกต่างของมนุษย์ยังมีประโยชน์อีกมากมาย เพียงเราเปิดใจที่จะค้นพบมัน
.....รอเพียงวันไหนเท่านั้นแหละ ที่มนุษย์จะเข้าใจมัน เข้าใจในตัวเองซะที


>>>>>>>>>>


Chapter 2  บุคคลตัวอย่าง

มีอยู่วันหนึ่ง ขณะนั่งรถกลับจากทำงาน ได้ยินบทสนทนาของพ่อลูกคู่หนึ่ง คุณพ่อกล่าวกับลูกชายอายุประมาณสิบขวบต้นๆ จับใจความได้ว่า อยากให้ลูกชายลดการเล่น Facebook ลงหน่อย เพราะมันมีตัวอย่างที่ไม่ดีเยอะ

ฉันไม่ได้ฟังว่าลูกชายตอบว่าอย่างไร เพราะมัวแต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า คนเราจะหนีพ้นตัวอย่างที่ไม่ดีได้อย่างสิ้นเชิงเลยหรือ ในยุคแห่งสังคมข่าวสารนี้ยุคที่ข่าวสารไวแบบ Realtime เกิดอะไรขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่นี่รู้ทั้งโลกในไม่กี่เสี้ยววินาที (แต่ข่าวบางประเทศโครตเกรียน เอาข่าวหนังสือพิมพ์มาอ่านออกทีวี วิทยุ ทั้งๆ ที่กระบวนการสื่อข่าวของทีวี วิทยุ เอื้ออำนวยต่อความเร็วในการสื่อสารมากกว่างานพิมพ์)

แม้แต่ละครหลังข่าวที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมานาน ก็ยังแก้ปัญหากันไม่ได้สักที การแบ่งเรตติ้ง ดูเหมือนยิ่งโหมเชื้อการนำเสนอความรุนแรงของละครให้ลุกโชนเข้าไปอีก บทตบตี อิจฉาริษยา ด่าทอกัน ทำร้ายกันอย่างไร้เหตุผลและเกินจำเป็นมีให้เห็นจนชินตา

ที่น่าโมโหก็คือ พระเอกหลายเรื่อง อย่างสวรรค์เบี่ยง ดาวพระศุกร์ วงเวียนหัวใจ ข่มขืน ฉุดคร่านางเอก แต่สุดท้าย เค้ายังคงเป็นพระเอกที่ดีงาม น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเสมอ

แล้วอย่างนี้อะไรล่ะ ที่จะเป็นตัวอย่างของเยาวชนที่เติบโตขึ้นทุกวัน ?
เมื่อไหร่ที่จะมีใครหันมาจริงจังกับการแก้ปัญหา ?
.....หรือสังคมเราจะเป็นสังคมที่เน้นการพูดมากกว่าการลงมือทำ อย่างที่นักวิชาการเค้าว่าจริงๆ


>>>>>>>>>>

Chapter 3  แรง

คำว่า แรง เป็นอะไรที่ทุกวันนี้เราต้องได้ยินจนชินหูไม่แพ้การเดินเจอเพศที่ 3 ตามห้าง
คำว่า แรง น่าจะมาจากคำว่า รุนแรง ร้ายแรง อะไรประมาณนั้น แต่แผลงความหมายไป ขึ้นอยู่กับว่า จะตีความมันไปในทางไหน

สำหรับฉัน แรงก็เป็นเหมือนสิ่งอื่นในโลก มีทั้งด้านดีด้านเลว เหมือนพระดีกับมารศาสนา ตำรวจดีกับตำรวจเลว นักการเมืองดีกับนักการเมืองเลว

เราจะใช้ความแรงเป็นประโยชน์อย่าง
- การออกโปรแรงๆ ของ Air Asia หรือ Ibis (พวกนี้ชอบจัง)
- ใช้ความแรงทำงานที่เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์
- ใช้ความแรงในการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
- แรงเพื่อปกป้องคนที่เรารัก
- แรงเพื่อความยุติธรรม
ฯลฯ

แต่ดูเหมือนความแรงในอีกทิศทางที่ตรงกันข้ามเราจะพบเห็นได้บ่อยกว่า ..
แรงแว๊นซ์ๆ/ แรงตบตี/ แรงหาเรื่อง/ แรงทำร้ายชาวบ้านอย่างพวกหนังสือบันเทิง/แรงค้ายา และอีกหลายแรงที่นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้วยังทำลาย..

แบบนั้นอย่าเรียกแรงเลย.. เปลี่ยนไปเรียกเลวเหอะ ตรงกว่าเยอะ

>>>>>>>>>>


Chapter 4  เหี้ย

ภูมิใจนำเสนอเหลือเกินสำหรับเรื่องนี้ เพราะได้ยินคนด่ากันว่าเหี้ยมาก็มาก กระทั่งเคยโดนด่าด้วยคำนี้เองด้วยซ้ำ เลยรู้สึกอึดอัดใจแทนตัวเหี้ยเหลือทน

มนุษย์เรามักมีการเปรียบเปรยสิ่งต่างๆ เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น หรือที่เรียกว่าการอุปมาอุปมัย เช่น เมาเหมือนหมา ซนเหมือนลิง อ้วนเป็นหมู ดังนี้เป็นต้น เพื่อเปรียบเทียบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างเห็นภาพพจน์

แต่คำด่าสุดฮิตที่ฉันได้ยินแต่เด็กและคงได้ยินจนแก่ตายอย่าง "เหี้ย" กลับไม่เคยได้เข้าใจถึงที่มา.....

เพราะคำว่าเหี้ย รวมๆ แล้ว ใช้ว่ากล่าวคนที่มีพฤติกรรมข้ามเส้นคำว่าแย่ไปอย่างมาก แต่ไม่เคยเห็นว่าเจ้าสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาน่ารักนี้ มันจะมีพฤติกรรมที่แย่ขนาดเอาชื่อมาใช้เปรียบเปรยตรงไหน ไม่ยุติธรรมกับเหี้ยเอาซะเลย

----- แล้วถ้ามองกลับกันในมุมของตัวเหี้ยล่ะ-----

ถ้าตัวเหี้ยมีการใช้ชีวิตร่วมกันแบบสังคม
ถ้าตัวเหี้ยมีภาษาพูดของตัวเอง
ถ้าตัวเหี้ยมีพฤติกรรมดังนี้
  • กัดเหี้ยตัวอื่น ทำร้ายเหี้ยตัวอื่น กินไก่ชาวบ้าน
  • ลักขโมยของเหี้ยตัวอื่น เอาของที่ไม่ใช่ของๆ ตนไป
  • แอบล่อเมีย ล่อผัวเหี้ยชาวบ้านเค้า (เหี้ยมีกิ๊ก เหี้ยมีชู้ เหี้ยมีเมียน้อย)
  • พูดปด ตอหลดตอแหล พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย เหี้ยตัวอื่น
  • เหี้ยกินเหล้า เมาขาดสติ แล้วก็เป็นเหตุให้ทำเรื่องแย่ต่างๆ อีกร้อยแปด 

ถ้าในการเีรียกอะไร เปรียบอะไร โดยยึดความคล้าย ความเหมือนเป็นหลัก 
ตัวเหี้ยอาจด่าเหี้ยที่มีพฤติกรรมแย่ๆ ข้างต้นว่า "ไอ้มนุษย์" หรือไม่ก็ "มึงนี่เลวเหมือนคนจริงๆ" ได้เหมือนกัน

>>>>>>>>>>


Chapter 5   Football (แต่เมกาเรียก Soccer)


ฟุตบอล ไม่ใช่แค่กีฬาที่ดูเอามันส์แค่อย่างเดียว

..เกมกีฬาชนิดนี้ยังได้สอนอะไรหลายอย่าง..

บ่อยครั้งที่ฟุตบอลมีความคลาสสิค ในตัวของมันเอง

ถ้าไม่มีฟุตบอล โลกนี้คงต่างออกไป ฉันคงไม่มีความสุขขนาดนี้

เมื่อก่อนฉันหมายมั่น ถึงขั้นใฝ่ฝันเลยว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวกีฬาให้ได้ แต่ในวันนี้มาถามใจตัวเองดู
.......... คนอย่างเราจะมีอาชีพที่แข่งกับเวลาและแบกความรับผิดชอบหนักๆ แบบนั้นได้หรือ


เอาเป็นว่า ถ้าได้เป็นก็ดี ไม่ได้เป็นก็ขอให้ได้ทำอะไรที่สุดขั้ว ฉีกออกไปเลยแล้วกันนะ

>>>>>>>>>>


Chapter 6  Amphawa

ทุกวันนี้ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ในการท่องอินเตอร์เน็ต ไปกับการติดตามข้อมูลการท่องเที่ยว
ดูรีวิวที่คนอื่นไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แล้วเก็บประสบการณ์+ภาพถ่าย มาแบ่งปัน หาโปรโมชั่น ที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ที่กิน ที่เที่ยวใหม่ๆ นั่งทำแผนการท่องเที่ยว ชวนคนนั้นคนนี้จนคนอื่นเค้าเริ่มจะระอา

บางทีเงินกับเวลาก็ไม่เอื้ออำนวย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวกว่าจะไปไหนได้ซักที่ แต่ก็มีความสุขมากๆ กับชีวิตแบบนี้ เรียกได้ว่ารักเลยล่ะ

บางทีแอบคิดเหมือนกัน เราห่วงเที่ยวจนทิ้งชีวิต ทิ้งความสนใจด้านอื่นเกินไปมั้ย ในใจทุกวันนี้ มันร่ำร้องจะออกเดินทางไปสัมผัสกับความสวยงามของสถานที่ต่างๆ

ไม่ว่าจะยังไง หรืออยากเที่ยวที่ไหนมากมายก็ตาม แต่สถานที่ๆ ดึงดูดฉันเอาไว้ราวปาฏิหาริย์ กลับเป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดที่เล็กที่สุดของประเทศไทย....อัมพวา สมุทรสงคราม....

หลายๆ คนคงรู้จักตลาดน้ำอัมพวาแล้ว....ตลาดน้ำที่เหมือนสาวเนื้อหอม มีคนแวะเวียนเข้ามาชื่นชมไม่ขาดสาย

แต่ฉันคิดว่า เสน่ห์ของที่นั่น ไม่ได้มีที่ตลาดน้ำอย่างเดียว แม่กลองเป็นเมืองที่สวยงาม สงบ อุดมสมบูรณ์ และที่น่ารักที่สุดคือ ผู้คนโอบอ้อมอารี

อยากฝากชีวิตเอาไว้ที่นั่น อยากหลบหนีจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมร เมืองที่เหมือนหญิงสาวมากจริต สวยแต่รูป จูบเหม็น

สงสัยจะต้องมนตร์รักแม่กลองเข้าไปเต็มๆ แล้วสิ

วันหลังคงต้องมานั่งเขียน Blog เกี่ยวกับอัมพวาโดยเฉพาะซะแล้ว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น